เคยสงสัยไหม? ตรวจหัวใจ “EST” กับ “Echo” ต่างกันอย่างไร
ศูนย์ : ศูนย์หัวใจ
บทความโดย : นพ. ศิรพัชร์ พูนวุฒิกุล
เพราะหัวใจเป็นสิ่งสำคัญ หากหัวใจผิดปกติแล้ว ย่อมส่งผลกระทบต่อระบบอื่นๆ อีกมากมาย การตรวจสุขภาพหัวใจจึงเป็นสิ่งแรกๆ ที่ไม่ควรมองข้าม ดังนั้นการตรวจความผิดปกติของสุขภาพหัวใจ อย่างการตรวจสมรรถภาพของหัวใจขณะเดินสายพาน EST และการตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง Echo จึงมีบทบาทในการช่วยค้นหาความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจได้ แต่เคยสงสัยไหมว่า? การตรวจทั้งสองแบบนี้เป็นอย่างไร มีความแตกต่างกันแค่ไหน แล้วแบบไหนถึงเหมาะสมกับเรากันแน่นะ ไปไขข้อสงสัยที่ว่านี้กันดีกว่า
หลักการทำงาน
EST : ใช้หลักการกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เหมือนการออกกำลังกาย เมื่อมีการกระตุ้นหัวใจให้มากขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจ ก็ต้องการเลือดมาเลี้ยงหัวใจมากขึ้น หากผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตันอยู่ ก็จะทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ มีผลทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ บ่งชี้ว่ามีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
Echo : ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงที่เรียกว่า อัลตราซาวด์ เมื่อคลื่นเสียงความถี่สูงผ่านอวัยวะต่างๆ จะเกิดสัญญาณ สะท้อนกลับ ที่แตกต่างกันระหว่างน้ำและเนื้อเยื่อ คอมพิวเตอร์จะนำเอาสัญญาณเหล่านี้มาสร้างเป็นภาพแสดง การทำงานของหัวใจ การบีบตัว และลักษณะทางกายภาพของหัวใจ
เหมาะกับใคร
EST : ผู้ใหญ่กลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไปที่มีอาการแน่นหน้าอกเวลาออกแรง ทั้งที่มีและไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอด เลือดหัวใจตีบ หรือผู้ที่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกบ่อยๆ จากการออกกำลังกาย และกลุ่มนักกีฬา
Echo : ผู้ที่มีอาการบวมและหอบเหนื่อย ซึ่งสงสัยว่าอาจเกิดจากโรคหัวใจ และผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
การตรวจวินิจฉัย
EST : ตรวจหาความผิดปกติของระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ภาวะหลอดเลือดตีบตัน ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือด
Echo : วินิจฉัยโรคที่เกี่ยวกับการทำงาน หรือการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ การไหลเวียนของเลือดในหัวใจ การเกิดลิ่มเลือดในหัวใจ ขนาดของห้องหัวใจ และตำแหน่งหลอดเลือดต่างๆ ที่เข้าและออกจากหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจแต่กำเนิด โรคลิ้นหัวใจพิการ โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ และโรคของเยื่อหุ้มหัวใจ
ขั้นตอนการตรวจ
EST : ก่อนการตรวจเจ้าหน้าที่จะติดอุปกรณ์เพื่อดูการทำงานของหัวใจ และความดันโลหิตขณะวิ่ง ผู้รับการตรวจจะเริ่ม จากการเดินช้าๆ บนสายพานที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ จากนั้นก็จะวิ่งโดยที่สายพานจะเพิ่มความเร็วขึ้น ซึ่งจะใช้เวลา ประมาณ 15-20 นาที จนเมื่อได้ข้อมูลที่เพียงพอในการวินิจฉัยแล้ว จึงหยุดการวิ่งนั้นได้
Echo : ขณะตรวจผู้รับการตรวจจะนอนบนเตียงราบ เจ้าหน้าที่จะทำการติดอุปกรณ์เพื่อเฝ้าสังเกตคลื่นไฟฟ้าหัวใจไว้บริเวณทรวงอก เพื่อดูอัตราการเต้นของหัวใจ จากนั้นแพทย์จะใช้หัวตรวจใส่เจล และถูตรวจบริเวณหน้าอกและใต้ราวนม ใช้เวลาในการตรวจ 20-45 นาที
ข้อจำกัดในการตรวจ
EST : ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูก ข้อต่างๆ และไม่สามารถเห็นโครงสร้างของหัวใจได้
Echo : ดูได้เฉพาะโครงสร้างหัวใจ แต่จะไม่เห็นเส้นเลือดหัวใจ
ตารางสรุปเทียบความแตกต่าง
ความแตกต่าง |
EST |
Echo |
---|---|---|
หลักการทำงาน | กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เหมือนการออกกำลังกาย | ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงที่เรียกว่า อัลตราซาวด์ |
ขั้นตอนการตรวจ | เดิน/วิ่งบนสายพานที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ | นอนบนเตียงราบ ตรวจบริเวณทรวงอกด้านนอก |
การตรวจวินิจฉัย | โรคหลอดเลือดตีบตัน กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด | โรคหัวใจโต ลิ้นหัวใจตีบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ และโรคของเยื่อหุ้มหัวใจ |
เหมาะกับ | - อายุ 40+ แน่นอกเวลาออกแรง - ผู้ที่เจ็บหน้าอกจากการออกกำลังกาย |
- ผู้ที่มีอาการบวมและหอบเหนื่อย เสี่ยงต่อโรคหัวใจ - ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ |
ข้อจำกัด | ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อ และไม่สามารถเห็นโครงสร้างของหัวใจ | ดูได้เฉพาะโครงสร้างหัวใจ แต่จะไม่เห็นเส้นเลือดหัวใจ |
การตรวจทั้งสองแบบมีจุดประสงค์เดียวกัน คือ ค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเกี่ยวกับหัวใจ หากพบความผิดปกติจึงควรรีบมาพบแพทย์ แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกวิธีการตรวจที่เหมาะสมให้ เพราะหากปล่อยไว้อาจเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ
บทความทางการแพทย์ศูนย์หัวใจ